06 มิถุนายน 2555

บทความ "พุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปีการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า" โดย พระเทพวิสุทธิกวี (เกษม)

พุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
พุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปีการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า 
ปี พุทธศักราช ๒๕๕๕ นี้ นับเป็นปีที่สำคัญต่อพระพุทธศาสนา  และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำคัญต่อปวงชนชาวไทย  ในฐานะที่เป็นผู้ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาไว้เป็นศาสนาประจำจิตประจำใจ  จนเป็นศาสนาประจำชาติ   เนื่องในโอกาสที่พระพุทธศาสนามีอายุมาครบ ๒๖๐๐ ปีนับแต่การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้บรมศาสดา ผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา  ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ นี้ พุทธศาสนิกชนทั่วโลกได้มีการเฉลิมฉลองโดยร่วมกันทำสักการบูชาในพระสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นกันทั่วหน้า เพื่อน้อมรำลึกถึงพระคุณูปการที่พระพุทธองค์ได้ทรงประทานแสงสว่างให้แก่ ชีวิตและโลกด้วยพระมหากรุณาอันหาประมาณมิได้  ปวงชนชาวไทยพุทธเราก็พร้อมจิตพร้อมใจกันทำการฉลองโดยทั่วหน้า เมื่อพุทธ ศักราช ๒๕๐๐ เราชาวพุทธทั้งโลกได้เคยร่วมกันเฉลิมฉลองกันในทำนองนี้ครั้งหนึ่งแล้ว ในครั้งนั้นพุทธศาสนิกชนต่างถือเอาคติว่าพระพุทธศาสนามั่นคงอยู่ในโลกนี้ได้ ครบ ๒๕ พุทธศตวรรษ คือครั้งนั้นถือเอาคติว่าพระพุทธศาสนาครบ ๒๕๐๐ ปี นับแต่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๘๐  แต่ครั้งนี้ฉลอง ๒๖๐๐ ปี ในพุทธศักราช ๒๕๕๕ โดยการนับจากวันที่พระพุทธองค์ได้ค้นพบอริยสัจธรรมเมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา  เมื่อตรัสรู้แล้วพระพุทธองค์แสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์อยู่อีก ๔๕ ปี  เอา ๔๕ บวกกับ ๒๕๕๕ จึงเป็น ๒๖๐๐ ปี เรียกว่า  “๒๖ พุทธศตวรรษนับแต่ตรัสรู้”
มี คำแปลกใหม่สำหรับหูคนไทยมาคำหนึ่งในการเฉลิมฉลองครั้งนี้คือคำว่า “พุทธชยันตี”  แน่นอนว่าคำนี้เป็นภาษาฮินดี (หรือภาษาอินเดีย) เมื่อจะมีคำถามว่าแล้วทำไมต้องไปเอาภาษาฮินดีมาใช้ในการเฉลิมฉลองครั้งนี้ กับชาวพุทธที่เป็นคนไทย  คงตอบได้ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่า เพราะที่ประเทศอินเดียเขาจัดงานฉลองโอกาสนี้ก่อนเราและเขาใช้คำนี้กันก่อน แล้ว  ไทยเราจึงรับมาใช้ให้ตรงกันเพื่อแสดงออกให้โลกรู้ว่าชาวพุทธมีความเป็น เอกภาพ  หากเราใช้เฉพาะภาษาไทยเราว่า “ฉลอง ๒๖ พุทธศตวรรษแห่งการตรัสรู้” ก็คงจะได้ แต่เราจะรู้และเข้าใจง่ายเฉพาะคนไทยเรา  ไม่ทั่วไปแก่ชาวโลก  แต่เมื่อพูดให้เป็นภาษาเดียวกัน ปัญหาเรื่องการทำความเข้าใจแก่ชาวโลกก็คงจะง่ายขึ้นไม่น้อย  แต่ก็มาเป็นปัญหาสำหรับชาวพุทธไทยอยู่เหมือนกันเพราะคนไทยออกจะงงว่า  “พุทธชยันตี คืออะไรกันแน่”
ผู้เขียนเริ่มคิดถึงงานฉลอง “๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้” เมื่อปลาย ๆ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๒  คิดเพิ่มหนักแน่นขึ้นพร้อมกับวางแผนจะจะต้องจัดงานฉลองเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๓ แล้วก็มาเริ่มดำเนินการตั้งแต่ต้นปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ และก็ได้มาทำจริงจังในขั้นเตรียมการตั้งแต่เริ่มต้นปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ นี้ สำหรับคำว่าพุทธชยันตี ซึ่งได้มีการนำมาใช้เป็นทางการในครั้งนี้ ได้มาทราบในที่ประชุมมหาเถรสมาคมเมื่อสมัยประชุมคณะกรรมการมหาเถรสมาคม แต่ครั้งนั้นมี “สัม” นำหน้าออกมาด้วยเป็น “สัมพุทธชยันตี” โดยมีคำอธิบายว่าที่ต้องใช้ “สัม” เข้ามาเพราะเป็นการฉลอง ”การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า”  แต่พอเข้าประชุมอีกครั้งหนึ่งก็กลับมาเป็น “พุทธชยันตี”  เช่นที่เป็นอยู่บัดนี้
เห็นจะต้องตอบคำถามเสียทีละว่า “พุทธชยันตี” คือคำศัพท์คำหนึ่งเป็นคำศัพท์ภาษาฮินดีหรือภาษาอินเดียปัจจุบัน  แต่หากจะถามว่าแล้วคำนี้แปลว่าอะไร  ก็ตอบได้ว่า  ศัพท์ว่า  “พุทธชยันตี”  นี้เป็นศัพท์ใหม่ที่ชาวพุทธคิดสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นชื่องานฉลองโอกาสพิเศษ ครบ ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ในมหามงคลสมัยที่พระพุทธศาสนายืนยาวมาครบ ๒๕๐๐ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ก็มีการฉลองอันยิ่งใหญ่ไปบรรดาชาวพุทธทั่วโลก  แต่ใช้คำศัพท์เป็นชื่อเฉพาะงานว่า  “พุทธชยันตี” เนื่องจากว่านั่นเป็นการนับพุทธศักราช  ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ ๘๐ ปี  ส่วนการฉลองพุทธชยันตีครั้งนี้ มีความหมายพิเศษระบุเจาะจงถึงปีแห่งการตรัสรู้  ที่ให้เปลี่ยนจากพระฤๅษีสิทธัตถะเป็น “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เพราะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ  หรือทรงค้นคว้าแสวงหาจนพบสัจธรรม  ในการจัดงานฉลองครั้งนี้เราจึงเรียกขานให้ตรงว่า “งานฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปีการตรัสรู้” 
คำว่า  “ชยันตี” แปลความหมายตรง ๆ ว่า  “ชัยชนะ”  ก็ได้ และว่า “เกิด”  ก็ได้  ซึ่งเมื่อแปลว่าชัยชนะ  ก็หมายถึง  ๑) ได้ชัยชนะเหนือกิเลสและมารทั้งปวง  ๒) ได้ชัยชนะเหนือความไม่รู้คืออวิชชาอย่างเด็ดขาด  ๓)  ได้ชัยชนะที่ทรงใช้ความเพียรพยายามค้นหาคำตอบเรื่องความทุกข์ได้อย่างครบ สมบูรณ์ เมื่อค้นพบก็ถือว่าได้ชัยชนะ  แต่คนไทยเราคงจะคุ้นคำนี้ว่า  “ชะยันโต”  มากกว่า  “ชะยันตี” เพราะเราคุ้นเคยกับภาษาบาลีมากกว่าภาษาฮินดี  ส่วน  ที่แปลว่า  “เกิด”  ซึ่งมีความหมายตรงกับคำว่า ชนยนฺตี,  ชเนตฺตี,  อุปฺปาโท,  อุปปชฺชนํ,  อุปปตฺติ,  ซึ่งทุกคำแปลว่าเกิด  หรือพุทธภาษิตที่ว่า  ปิยโต  ชายเต  โสโก  ความโศกย่อมเกิดจากสิ่งที่รักเป็นต้น แต่เนื่องจากทางประเทศศรีลังกา และอินเดียเขาเริ่มใช้เป็นชื่องานฉลองโอกาสพิเศษแห่งพระพุทธศาสนามาก่อนและ เขานิยมใช้คำว่า  “ชะยันตี” เป็นภาษาฮินดี  ไทยเราจึงใช้ตามเขาเพื่อแสดงความเป็นเอกภาพและง่ายในการประชาสัมพันธ์ใน ระดับนานาชาติด้วย  ในคราวประชุมหมาเถรสมาคมเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคมศกนี้  จึงมีมติเห็นชอบให้ใช้ชื่องานฉลองพระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นในโลกครบ ๒๖๐๐ ปีครั้งนี้ว่า “งานฉลอง พุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า”
คำ ว่า “สัมพุทธะ” หรือ “สัมมาสัมพุทธะ” เกิดมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพระฤๅษีโพธิสัตว์สิทธัตถะได้ “ตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง” แล้วเท่านั้น นั่นคือหลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ทอดพระ เนตรเห็นคนแก่  คนเจ็บป่วย  คนตาย  ทรงเห็นว่าเป็นปัญหาและทรงสรุปเบื้องต้นเป็นสมมติฐานทางการวิจัยว่าสภาพเช่น นั้น “เป็นความทุกข์”  จะต้องมีสิ่งที่แก้กันคือ “ความสุข”  ครั้นทรงพบเห็นสมณะก็มีพระดำริว่าน่าจะเป็นทางค้นหาให้พบความสุขได้  จึงตัดสินพระทัยออกทำงานวิจัยค้นหาความสุขเพื่อแก้ความทุกข์ให้ได้  ทรงใช้เวลาทำการวิจัยลองผิดลองถูกมาถึง ๖ ปี จากพระชนมายุ ๒๙ ถึงพระชนมายุ ๓๕  จึงวิจัยสำเร็จสมบูรณ์คือได้รู้ชัดว่า อะไรคือความทุกข์  อะไรคือสาเหตุแห่งความทุกข์  อะไรคือความดับลงอย่างเด็ดขาดแห่งความทุกข์  และอะไรคืออุบายวิธีให้ถึงความดับทุกข์อย่างเด็ดขาด  เมื่อได้พบแล้วพระองค์จึงทรงประกาศว่า  “เราได้รู้แล้ว”  และได้เสนอผลงานวิจัยของพระองค์สู่สาธารณะชนอันมีผลมาถึงปัจจุบัน  แต่การรู้ของพระองค์ไม่ใช่รู้เพียงเท่านั้น  หากแต่ได้รู้สิ่งทั้งปวงตามเป็นจริงด้วย รู้ไปถึงเรื่องของจักรวาล พระองค์จึงได้พระนามอีกว่า  “พระสัพพัญญู”  แปลว่าผู้รู้สิ่งทั้งปวง  และว่า  “โลกวิทู”  ผู้รู้โลกทั้งปวงเป็นต้น เพราะฉะนั้น  การฉลองครั้งนี้จึงหมายถึงการฉลอง  ๑) ความเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา  ๒) ฉลองความเกิดขึ้นในโลกของพระพุทธศาสนา   ๓) ฉลองความปรากฏขึ้นในโลกของสัจธรรมที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน  ๔)  ฉลองความที่พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นในโลกมาครบ ๒๖๐๐ ปี
อนึ่ง ศัพท์ว่า  “สัมมาสัมพุทธะ”  ที่แปลว่า “ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ หรือ ผู้ตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง”  หมายความว่าทรงค้นพบสัจธรรมเองโดยการค้นคว้าวิจัยของพระองค์เอง โดยไม่มีอาจารย์สอน  บาง ครั้งก็มีผู้สงสัยว่า พระพุทธองค์ตรัสรู้เองโดยไม่มีอาจารย์ได้อย่างไร  ในเมื่อที่ผ่านมาก็เข้าไปศึกษาจากอาจารย์มากมาย  ข้อนี้ก็เหมือนนักศึกษาที่ศึกษาจบหลักสูตรได้รับปริญญาเป็นบัณฑิต ได้ ความรู้จากอาจารย์มา  แต่ความรู้นั้นยังไม่อำนวยให้รู้สิ่งที่ต้องการรู้ได้  ต่อเมื่อจบการศึกษารับปริญญาเป็นบัณฑิตแล้วไปทำงานวิจัยต่อ  เป็นนักวิจัยอิสระ ลองผิดลองถูกไปอย่างมุ่งมั่น  ในที่สุดก็พบสิ่งที่ต้องการรู้เองด้วยความเป็นนักวิจัยอิสระของตนเอง ข้อนี้ฉันใดพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เองโดยไม่มีอาจารย์ฉันนั้น
ว่าถึง การวิจัย  เราสามารถกล่าวได้ว่าพระพุทธองค์เป็นนักวิจัยคนแรกของโลก  ถือว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งการวิจัย ระบบค้นคว้าแสวงหาความรู้ที่ทรงคิดค้นได้มาเป็นระบบที่สมบูรณ์   และสามารถใช้ประโยชน์ในการทำงานวิจัยค้นคว้าแสวงหาความรู้ได้อย่างดีเยี่ยม แม้กระทั่งปัจจุบัน   นั่นคือ  ๑) มีขั้นตอนฐานความคิด (การสังเกต)  ๒) มีสมมติฐาน (มีความทุกข์ต้องมีความสุข)  ๓) มีปัญหาทางการวิจัย (แก่ - เจ็บป่วย – ตาย)  ๔) มีการประมวลความรู้เบื้องต้น  ((การออกบวช-สำนักอาจารย์ต่าง ๆ) ๔) กระบวนการทดลองภาคสนาม (เข้าไปศึกษา-ทดลองด้วยตนเองในสำนักต่าง ๆ)  ๕) การวิเคราะห์ข้อมูล (ประมวลจากความรู้ที่ได้จากการทดลองในสำนักต่าง ๆ)   ๖) แสวงหาความรู้ใหม่เมื่อยังตอบโจทย์ (อะไรคือความทุกข์) ยังไม่ได้ ด้วยการลองผิดลองถูกด้วยตนเอง (อดกลั้นลมหายใจ-เอาลิ้นกดเพดาน-อดอาหาร)  ๗) เมื่อตอบโจทย์วิจัยได้ว่าอะไรคือความทุกข์เป็นต้น (เกิดสัมโพธิญาณ) จึงมั่นพระทัยประกาศ ยืนยันว่า “เราได้รู้แล้ว”  ๘)  ทบทวนผลงานตั้งแต่ฐานความคิดถึงบรรลุพระสัมโพธิญาณ (๔๙ วันที่สัตตมหาสถาน)  ๙) วางกรอบรูปแบบแนวปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสัจจะที่ทรงค้นพบ (สร้างโมเดลแนว/ขั้นตอนและวิธีปฏิบัติ (ไตรสิกขาหรืออริยมรรคมีองค์แปด) ๑๐)  เสนอผลการวิจัยสู่สาธารณชน (ประกาศธรรมโดยพิจารณาผู้รับที่เหมาะสม) 
องค์ ความรู้ที่ทรงใช้เพื่อการวิจัย  ๗  ประการที่ทรงใช้  เป็นแบบมาตรฐานที่สามารถให้ความเที่ยงตรง  ไม่ให้ความรู้หรือสิ่งที่ค้นพบคลาดเคลื่อนจากความจริงคือ
     ๑.  ทบทวนวรรณกรรมทั้งปวงที่สามารถทบทวนได้  (สติ ความระลึกรู้)
     ๒.  คัดเลือก  คัดสรรแนวที่มีความถูกต้องหรือใกล้เคียงความถูกต้องที่สุด (ธมฺมวิจโย)
     ๓.  สร้างความกล้าหาญ  มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจลงมือทำงานวิจัย (วิริโย)
     ๔.  สร้างความพึงพอใจในการได้ลงมือทำงานวิจัยมีความสุขกับการได้ทำสิ่งนั้น (ปีติ)
     ๕.  เตรียมกายเตรียมใจและเวลาให้พร้อมเพื่อความมุ่งมั่นทำงาน (ปสฺสทฺธิ)
     ๖.  มีความหนักแน่น  ไม่โลเล ไม่ท้อแท้  ไม่ให้อุปสรรคต่าง ๆ มาทำลายความตั้งใจ มีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวไม่พบสิ่งต้องการรู้ไม่หยุดค้นคว้า (สมาธิ)
     ๗.  ทบทวน  สังเกต  ตรวจสอบ  ให้ได้ค่าความเชื่อมั่น (อุเปกฺขา = อุป + อิกฺข) อุเบกขาในที่นี้ไม่ได้แปลว่า  “วางเฉย”  อุปะ  แปลว่า  “มั่น”  อิกขะ แปลว่า ดู, เห็น, ตรวจสอบ  เมื่อรวมเข้ากันเป็นคำเดียวจึงต้องแปลว่า  “ตรวจสอบให้มั่นใจ)
ทั้ง ๗ ข้อนี้  ทรงชี้ว่าเป็นองค์ความรู้ (โพชฌงค์ องค์แห่งการตรัสรู้  แปลเป็นภาษาวิชาการทั่วไปว่า “องค์แห่งความรู้”  อันหมายความว่าเมื่อทำงานวิจัยแสวงหาความรู้ใด ๆ ด้วยการใช้องค์แห่งความรู้ทั้ง ๗ ประการนี้เป็นบรรทัดฐาน  ความรู้ที่ได้จากการวิจัยชิ้นนั้น  จะเป็นความรู้ที่เที่ยงตรง  มีค่าความเชื่อมั่นเต็มร้อย  สามารถตอบโจทย์วิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในทุกยุคทุกสมัย  เป็นองค์ความรู้ที่ยั่งยืนเป็น “อกาลิโก”
พระพุทธองค์ประสบความ สำเร็จในการวิจัยแล้วได้ทรงอาศัยพระมหากรุณาคุณ  มุ่งมั่น ท่องเที่ยวไปเสนอผลงานวิจัยต่อสาธารณชนเป็นเวลา  ๔๕  ปีพร้อมกับภาระให้แก่พระสาวกสาวิกาช่วยทำงานเป็นประโยคที่สำคัญว่า  “ภิกษุทั้งหลาย เราได้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์  แม้ท่านทั้งหลายก็เหมือนกัน  ท่านทั้งหลายจงเที่ยวไปในชนบท  เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก  แต่อย่าไปรวมกัน ๒ รูปโดยทางเดียวกัน  จงแสดงธรรมมีคุณงามในเบื้องต้น  งามในท่ามกลางและงามในที่สุด  จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ  อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง  สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลสบังปัญญาดุจธุลีในจักษุน้อยเป็นปกติมีอยู่  เพราะโทษที่ไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อมจากคุณที่จะพึงได้พึงถึง  ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมีอยู่  แม้เราก็จะไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อจะแสดงธรรม”  สรุปสั้น ๆ ว่า “เธอทั้งหลายจงไปแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่พหุชน  เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก”
สิ่งสำคัญที่พระพุทธองค์ทรงย้ำเน้นไว้ในธัม มจักกัปปวัตนสูตร (พระไตรปิฎกเล่ม ๔) คืออุบายวิธีเข้าถึงความรู้หรือความจริง  และตรัสไว้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์เส้นเดียวที่ให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้แน่ นอนคืออริยมรรคมีองค์แปดนั่นเอง  และทางนี้ถือว่าเป็นทางที่สร้างไว้สำเร็จสมบูรณ์แล้ว  เป็นเส้นทางที่ประกอบด้วย ๑ ยุทธศาสตร์เพื่อความสุขถาวร  เส้นทางนี้มี ๘ มาตรฐานการดำเนินงาน  และ  ๒๖ ดรรชนีชี้วัด   ซึ่งได้แก่
มาตรฐานที่ ๑ สัมมาทิฏฐิ  ความเห็นที่เรียกว่าถูกต้อง  ต้องประกอบด้วย  ๔ ดรรชนีชี้วัดได้แก่
     ๑)  ทุกฺเข  ญาณํ  หยั่งรู้หยั่งเห็นว่าความทุกข์ทั้งปวงที่ทรงแสดงไว้แล้วนั้นมีอยู่จริง
     ๒)  ทุกฺขสมุทเย  ญาณํ  หยั่งรู้ว่าตัณหาเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ทั้งปวงจริง
     ๓)  ทุกฺขนิโรเธ  ญาณํ  หยั่งรู้หยั่งเห็นว่าเมื่อดับสาเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวงได้ก็เป็นการดับความทุกข์ทั้งปวงได้จริง
     ๔)  ทุกฺขนิโรธคามินิยา  ปฏิปทาย  ญาณํ  หยั่งรู้หยั่งเห็นในปฏิปทาอันให้ถึงความดับลงอย่างเด็ดขาดแห่งความทุกข์  สามารถเป็นไปได้จริง
     นี้คือดรรชนีชี้วัด “ความเห็นชอบ”  เห็นอย่างอื่นไม่ชื่อว่าเห็นชอบตามข้อว่า สัมมาทิฏฐิ นี้  ข้อนี้ทำให้ได้ความชัดว่าเห็นอย่างไรเรียกว่าเห็นชอบ
มาตรฐานที่ ๒  สมฺมาสงฺกปฺโป  ความคิดหรือความดำริที่ถูกต้อง  มีดรรชนีชี้วัดความถูกต้อง ๓ อย่างคือ
     ๑)  เนกฺขมฺมสงฺกปฺโป  ความคิดออกจากกาม  หรือความคิดออกห่างจากความมัวเมาเพลิดเพลินในกาม  อันรวมไปถึงเรื่องบริโภคนิยม (บริโภคทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ)  มีความรู้จักประมาณ  รู้จักพอเพียง
     ๒)  อพฺยาปาทสงฺกปฺโป  ความคิดความดำริ  ลด  ละ  เลิก ความอาฆาตพยาบาทผู้อื่น (มีแต่เมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นอยู่เย็นเป็นสุขด้วยกัน)
     ๓)  อวิหิงฺสาสงฺกปฺโป  ความคิดคามดำริ ลด  ละ  เลิก ความเบียดเบียนทำลายล้างชีวิตและทรัพย์สินของกันและกัน (มีความเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน)
มาตรฐานที่ ๓  สัมมาวาจา   การกล่าววาจาที่ถูกต้องชอบธรรม  มีตัวดรรชนีชี้วัดคำว่า  “สัมมา”  ๔ ข้อคือ
     ๑)  มุสาวาทา  เวรมณี  กล่าววาจามีเจตนาเว้นจากคำพูดเท็จ คำที่ไม่ตรงกับความจริง  คลาด เคลื่อนจากความจริง (มี สัจวาจา)
     ๒)  ปิสุณวาจา  เวรมณี  กล่าววาจามีเจตนาเว้นจากคำยุยงส่งเสริมให้เกิดความขัดแย้งหรือเกิดแตกแยก  หรือทำลายสามัคคี (มี วาจาเสริมสร้างสามัคคี)
     ๓)  ผรุสาวาจา  เวรมณี  กล่าววาจามีเจตนาเว้นจากคำพูดหยาบคายเช่นคำด่า  คำลบหลู่ดูหมิ่น  คำพูดแดกดันกดขี่  (มี ปิยวาจา)
     ๔)  สฺมผปฺปลาปา  เวรมณี  กล่าววาจามีเจตนาเว้นจากคำพูดเพ้อเจ้อไร้สาระไร้ประ -โยชน์  ผิดกาลเทศะ  (มี อัตถวาจา)
มาตรฐานที่ ๔   สมฺมากมฺมนฺโต  การทำงานที่เป็นไปโดยชอบโดยถูกต้อง  มีดรรชนีชี้วัดความถูกต้อง  ๓  อย่างคือ
     ๑)  ปาณาติปาตา  เวรมณี  ทำงานด้วยมีเจตนางดเว้นจากการฆ่า การทำลายล้างกัน  มีความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์โลก  เคารพในการมีชีวิตอยู่ของกันและกัน
     ๒)  อทินฺนาทานา  เวรมณี  ทำงานด้วยมีเจตนางดเว้นจากการลักฉ้อ ทุจริตคอรัปชั่น  มีสัมมาอาชีพ  เคารพรพในสิทธิแห่งการครอบครองทรัพย์สินของกันและกัน
     ๓)  กาเมสุ  มิจฺฉาจารา  เวรมณี  การทำงานที่มีเจตนางดเว้นจากความประพฤติผิดในกามทุกชนิดเช่น ประกอบการค้ากาม  ประกอบการบริการกาม  ประกอบการบริโภคกาม  อันเป็นการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  ต้องยกย่องให้เกียรติศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกันและกัน  เคารพรักษาประเพณีอันดีงามของมนุษย์ด้วยกัน
มาตรฐานที่ ๕  สมฺมาอาชีโว  การประกอบอาชีพถูกต้อง  สุจริต  ชอบธรรม  มีดรรชนีชี้วัดเป็นหลักกว้าง ๆ ๒ อย่างคือ 
     ๑)  อกุสลานํ  ปหานา  เจตนาเว้นงานที่ผิดกฎหมาย  ผิดจารีตประเพณี  ผิดศีลธรรมจรรยา  และ งานที่เป็นบาปอกุศล  งานที่มีโทษ  งานที่อากูล  งานที่เป็นทางแห่วงอบายมุข
     ๒)  กุสลานํ  อุปสมฺปทา เจตนาทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย  จารีตประเพณี  ถูกต้องตามหลักศีลธรรมจรรยา  งานที่ก่อให้เกิดบุญกุศล  งานที่ส่งเสริมแนวทางสวรรค์และนิพพาน
มาตรฐานที่ ๖  สมฺมาวายาโม  ความเพียรพยายามที่หนักแน่นเป็นประธานในการทำงาน  มีดรรชนีชี้วัดตัวความเพียรนี้ ๔ อย่างคือ
     ๑)  สงฺวรปธานํ  ความเพียรพยายามป้องกันกิเลสหรือภัยพิบัติต่าง ๆ อย่างรอบคอบไม่ปล่อยให้ภัยพิบัติเกิดก่อนแล้วตามแก้
     ๒)  ปหานปธานํ  ความเพียรพยายามกำจัดทำลายกิเลสหรือภัยพิบัติที่เกิดขึ้นแล้ว มีขึ้นแล้วให้หมดสิ้นไปเสียแต่โดยเร็ว
     ๓)  ภาวนาปธานํ  ความเพียรพยายามสร้างคุณความดี  สร้างทางเจริญอย่างต่อเนื่อง  ไม่หยุดยั้ง  ไม่เปิดโอกาสให้ภัยพิบัติได้โอกาสเกิดหรือเติบโต
     ๔)  อนุรกฺขนาปธานํ  ความเพียรพยายามรักษาคุณความดี  รักษามาตรฐานความดีให้มีความมั่นคงยั่งยืนตราบเท่าที่ยังมีชีวิต
     ทั้ง ๔ ข้อนี้  ยังถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์ในการแก้ปัญหาได้ทุกอย่างตั้งแต่ปัญหาเล็ก ๆ จนถึงปัญหาระดับชาติและระดับโลก
มาตรฐานที่ ๗  สัมมาสติ  ความมีสตีระลึกชอบ  มีตัวดรรชนีชี้วัดความ “ชอบ” ของสติ ๔ ประการคือ
     ๑)  กายานุปสฺสนาสติปฏฺฐานํ  ระลึกรู้ตรวจสอบกาย  (ระลึกรู้สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ)
     ๒)  เวทนานุปสฺสนาสติปฏฺฐานํ  ระลึกรู้ตรวจสอบอารมณ์ความรู้สึก สุข ทุกข์  ไม่ทุกข์ไม่สุข
     ๓)  จิตฺตานุปสฺสนาสติปฏฺฐานํ  ระลึกรู้ตรวจสอบสภาพจิตของตนให้กระจ่างชัด
     ๔)  ธฺมมานุปสฺสนาสติปฏฺฐานํ  ระลึกรู้ตรวจสอบธรรมในภายในตนให้มีความรู้แจ้งชัดว่ามีอะไร บ้างในตน
มาตรฐานที่ ๘  สัมมาสมาธิ  ความตั้งจิตมั่นคง  ไม่หวั่นไหวไปตามกระโลกกระแสธรรมใด ๆ  มีดรรชนีชี้วัดความมั่นคงหลัก ๆ ๒ ระดับคือ
     ๑)  สมถกมฺมฏฺฐานํ  ความสงบหนักแน่นมั่นคงแห่งจิต  (สมถะหรือสมาธิ)
     ๒)  วิปสฺสนากมฺมฏฺฐานํ  ความรู้แจ้งเข้าใจชัดในสังขารธรรม  (วิปัสสนา-ปัญญา)
ว่า กันโดยย่นย่อ  หนึ่งเส้นทางยุทธศาสตร์  ประกอบด้วย  แปดมาตรฐานและ  ยี่สิบหกดรรชนีชี้วัดของแต่ละมาตรฐาน  เมื่อดำเนินการตามกระบวนการครบถ้วน  ทุกอย่างก็ย่อมถึงความสำเร็จได้   จะเห็นว่าหลักการและวิธีการเพื่อความเข้าถึงสัจจะของพระพุทธเจ้ามีความ สมบูรณ์  ความทันสมัยอย่างน่าประหลาดใจจริง ๆ
จากวันที่ได้ตรัสรู้มา ถึงวันวิสาขบูชา พุทธศักราช ๒๕๕๕  (ตรงกับวันจันทร์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๕)  จะครบ ๒๖๐๐ ปี  ชาวพุทธทั่วทั้งโลกจึงมีดำริร่วมกันในการมีส่วนร่วมในงานฉลองมหามงคลครั้ง นี้ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้จัดทำเอกสารนี้ขึ้นเพื่อเป็นการชี้แจงทำ ความเข้าใจและศึกษาเป็นพุทธบูชาอีกส่วนหนึ่งด้วย
พระเทพวิสุทธิกวี (เกษม)
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาสวิหาร
รองเจ้าคณะภาค ๑๖-๑๗-๑๘ ธรรมยุต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น