วิธีในการทำข้อสอบ ( ให้ได้ผล )
วิธีการทำข้อสอบ
๑. การสอบข้อเขียน
ข้อ
สอบที่ใช้กันในการสอบข้อเขียน ได้แก่ ข้อสอบแบบปรนัยและอัตนัย
นอกจากนั้นวิธีการสอบที่มักจะใช้สอบก็คือ การสอบแบบปิดและเปิดตำรา
วิชาไหนจะสอบแบบใดอาจารย์ผู้สอนจะเป็นผู้กำหนดและแจ้งให้นักศึกษาทราบก่อน
สอบเสมอ นักศึกษาที่มีความรู้เท่ากันไม่ได้หมายความว่าจะได้คะแนนสอบเท่ากัน
ผลการวิจัยพบว่าผู้ที่มีทักษะที่ดีในการทำข้อสอบจะได้คะแนนสูงกว่าผู้ที่ขาดทักษะ ดังนั้น ต่อไปนี้จะกล่าวถึงวิธีการทำข้อสอบเพื่อให้มีโอกาสได้คะแนนสูงขึ้น
๑.๑ การสอบแบบเปิดตำรา
การ
สอบแบบนี้ผู้สอนจะอนุญาตให้ผู้สอบนำเอกสารต่าง ๆ เข้าไปในห้องสอบได้
โจทย์ส่วนใหญ่จะถามเกี่ยวกับความเข้าใจเนื้อหาของวิชาที่เรียนมากกว่าการ
ท่องจำและอาจจะรวมถึงการนำความรู้หรือทฤษฎีไปประยุกต์ใช้อีกด้วย
ซึ่งมีลักษณะ ๒ แบบ คือ
๑.๑.๑ ข้อสอบง่าย แต่จำนวนข้อสอบยากจนทำไม่ทัน
๑.๑.๒ ข้อสอบยาก จำนวนข้อน้อย แต่วัดความเข้าใจและความสามารถในการประยุกต์ใช้ทฤษฎีต่าง ๆ
การ
ทำข้อสอบแบบนี้ให้ได้ดี นอกจากจะต้องเข้าใจเนื้อหาอย่างดีแล้ว
การฝึกฝนทำข้อสอบ หรือข้อสอบของปีที่ผ่านมาให้คล่องแคล่วก็สำคัญไม่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการเขียน และการเปิดหาหัวข้อที่ต้องการใช้
ได้อย่างรวดเร็ว โดยการจัดระบบของเอกสารหรือตำราที่ใช้สอบ เช่น
การใช้คั่นหน้าของหนังสือ เป็นต้น
๑.๒ การสอบแบบปิดตำรา
การ
สอบเป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะมักจะเป็นการวัดความรู้ ความเข้าใจ
และความจำของการเรียนที่ผ่านมา
ข้อสอบแบบนี้ซึ่งจะมีทั้งข้อสอบแบบปรนัยและข้อสอบแบบอัตนัย
ส่วนใหญ่จะทดสอบความเข้าใจและความจำของผู้สอบ
๑.๓ ประเภทของข้อสอบข้อเขียน
๑.๓.๑ ข้อสอบแบบปรนัย คือข้อสอบที่มีทั้งคำถามและคำตอบ โดยคำตอบจะมี ๔ – ๕ ตัวเลือก ( Choices ) ให้เลือกตอบ แต่จะข้อจะมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบหรือเพียงตัวเลือกเดียวเท่านั้น มีขั้นตอนในการทำข้อสอบดังนี้
๑.๓.๑.๑ อ่านคำสั่งอย่างละเอียด ทำเครื่องหมายให้ตรงตามที่คำสั่งระบุไว้อย่างเคร่งครัดและให้ตรงกับข้อคำถาม
๑.๓.๑.๒
ทำข้อสอบที่เราทำได้ก่อน ส่วนข้อที่ยังทำไม่ได้
ให้ทำเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ไว้ให้ชัดเจน ผ่านไปทำข้ออื่นก่อน
เพระบางครั้งคำตอบในข้ออื่นอาจจะช่วยให้เราตอบข้อที่เรายังทำไม่ได้
แล้วกลับไปทำข้อนั้น การทำสัญลักษณ์จะทำให้เกิดจุดเด่นที่เราสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าเราข้ามข้อไหนมาบ้าง
๑.๓.๑.๓ กรณีที่เราไม่รู้คำตอบจริง ๆ อาจจะต้องอาศัยการคาดเดา ซึ่งใช้วิธีต่อไปนี้อาจจะช่วยได้บ้าง
๑.๓.๑.๓.๑ วิธีการตัดตัวเลือก คือ กำจัดคำตอบข้อที่ผิดอย่างชัดเจนออกไปก่อน ทำให้เหลือตัวเลือกน้อยลง ถ้าเดาโอกาสถูกก็จะสูงขึ้น
๑.๓.๑.๓.๒ คำตอบที่มีความหมายคล้ายกันมักจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง ( แต่ก็ไม่ใช่เสมอไป )
๑.๓.๑.๓.๓ คำตอบที่มีความหมายกว้างครอบคลุมข้ออื่น ๆ มักจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ( แต่ก็ไม่ใช่เสมอไป )
๑.๓.๑.๓.๔ คำตอบที่ตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกัน ไม่คำตอบใดก็คำตอบหนึ่งมักจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง ( แต่ก็ไม่ใช่เสมอไป )
๑.๓.๑.๓.๕
คำตอบที่ยาวที่สุดหรือสั้นที่สุดก็มักจะเป็นคำตอบที่ถูก ทั้งนี้
ให้สังเกตจากคำตอบข้อที่เราทำได้มาเป็นแนวโน้ม ( แต่ก็ไม่ใช่เสมอไป )
๑.๓.๑.๓.๖ คำตอบแรกที่นึกขึ้นได้มักจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ประมาณ ๗๐ เปอร์เซ็นต์
๑.๓.๒ ข้อสอบแบบอัตนัย ข้อสอบแบบนี้ไม่มีคำตอบให้เลือก ผู้สอบจะต้องคิดคำตอบเองทั้งหมด การทำข้อสอบแบบนี้ให้ได้คะแนนดี ๆ มีวิธีดังนี้
๑.๓.๒.๑ อ่านข้อสอบทั้งหมดอย่างระมัดระวัง และแบ่งเวลาในการทำข้อสอบ
ตรวจ
ดูว่ามีเวลาทำข้อสอบนานเท่าไร ข้อสอบมีจำนวนกี่ข้อ คะแนนในแต่ละข้อเท่าไร (
กรณีที่ไม่ได้ระบุไว้ ให้สันนิษฐานว่าคะแนนเท่ากันทุกข้อ ) ข้อไหนยาก
ข้อไหนง่ายสำหรับเรา
จากนั้นเราจะมีข้อมูลในการคำนวณเวลาในการทำข้อสอบแต่ละข้อว่าต้องใช้เวลาและ
เขียนรายละเอียดมากน้อยเท่าไร เพื่อที่จะทำข้อสอบได้ทัน
และมีเวลาเหลือสำหรับการทบทวน
ข้อ
ไหนทำจนหมดเวลาเฉลี่ยแล้วยังทำไม่เสร็จหรือคิดไม่ออกให้เว้นช่องว่างหรือทำ
สัญลักษณ์เพื่อกันลืมไว้ ผ่านไปทำข้ออื่นก่อน
และกลับมาคิดทบทวนและลงมือทำอีกรอบหนึ่ง ผู้เขียนแนะนำให้แบ่งเวลาให้ ๕ – ๑๐ นาทีก่อนส่งข้อสอบเสมอ สำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของคำตอบ ตรวจดูชื่อ – นามสกุล และเลขที่สอบหรือเลขประจำตัว
๑.๓.๒.๒ ตอบให้ตรงคำถาม
อ่าน
คำถามให้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจให้อ่านซ้ำ ๆ จนกว่าจะเข้าใจคำถาม
และสำรวจคำถามว่าผู้ออกข้อสอบต้องการคำตอบอะไร รายละเอียดมากน้อยแค่ไหน
แล้วตอบคำถามโดยมีรายละเอียดดังนี้
๑.๓.๒.๒.๑
ตอบอย่างสั้นหรือกระชับพอได้ใจความ เมื่อคำถามมีว่า บอกชื่อ ระบุ
หรือเขียนเป็นข้อ ๆ แต่ไม่ควรสั้นจนไม่ได้เนื้อความครบประเด็น
๑.๓.๒.๒.๒
ตอบอย่างละเอียดและมีประเด็นที่ชัดเจน เมื่อคำถามมีว่า เปรียบเทียบ อธิบาย
บรรยาย วิจารณ์ หรือ ทำไม ในกรณีให้บอกเหตุผล
แต่ไม่ควรมีแต่น้ำจนคำตอบยาวเยิ่นเย้อไม่มีประเด็นที่ชัดเจน
บาง
ครั้งผู้สอบจะกำหนดจำนวนช่องว่างสำหรับให้เขียนคำตอบมาให้
ควรเรียบเรียงความคิดและเขียนคำตอบให้พอดีกับช่องว่างนั้น
ขณะที่กำลังอ่านคำสั่ง
ถ้ามีคำตอบข้อใดก็ตามเข้ามาในสมองให้รีบเขียนคำตอบนั้นทันทีแบบย่อสั้น ๆ
ลงในกระดาษคำถามเพื่อกันลืม
๑.๓.๒.๓ ทำข้อที่ทำได้ และที่ได้คะแนนมากก่อน
ทำข้อสอบข้อที่ทำได้ก่อน เพราะจะทำให้มั่นใจในการทำข้อสอบและยังมีเวลาเหลือไปคิดข้ออื่น ๆ
๑.๓.๒.๔ เขียนให้น่าอ่าน
ก่อน
ที่จะลงมือเขียนคำตอบต้องเรียบเรียงความคิดและวางโครงร่างคร่าว ๆ ว่า
มีหัวข้อหลักและหัวข้อย่อยอะไรบ้าง ควรเขียนข้อมูลละเอียดแค่ไหน
เรียงลำดับก่อนหลังตามความสำคัญ จากนั้นเริ่มเขียนด้วยลายมือที่อ่านง่าย
เว้นวรรคให้ชัดเจน และย่อหน้าให้ถูกต้องตามประเด็น ไม่ควรเขียนวกไปวนมา
และกรุณาอย่าใช้ภาษาพูด พยายามใช้แผนภูมิ แผนภาพ หรือตารางประกอบ
ถ้าโจทย์นั้นอำนวย
เพราะสิ่งเหล่านี้จะนำเสนอความคิดของเราให้แก่ผู้ตรวจอย่างชัดเจน
๒. การสอบปากเปล่า
การสอบในลักษณะนี้จะไม่ค่อยใช้ในระดับที่ต่ำกว่าปริญญาตรี เพราะต้องสอนทีละคนหรือแบ่งกลุ่ม ๒ –
๓ คน จึงทำให้เสียเวลาในการสอบมาก วิชาที่ใช้วิธีการสอบแบบนี้ได้แก่
วิชาโครงงานหรือปริญญานิพนธ์
ซึ่งการจะสอบผ่านหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับผลงานและการเรียบเรียงความรู้มา
เป็นคำตอบนั่นเอง
การสอบลักษณะนี้นักศึกษาจะเป็นผู้นำเสนอผลงานของตนเองแล้วตอบข้อซักถามต่อ
อาจารย์ที่ปรึกษาหรือผู้สงสัยในงานชิ้นนั้น ๆ
๒.๑ ขั้นตอนการเตรียมตัวสอบปากเปล่า
๒.๑.๑
เตรียมสื่อที่จะนำเสนอให้ดีและดึงดูดความสนใจ ต้องใช้ข้อมูลที่ถูกต้อง
จัดลำดับเป็นขั้นตอน ใช้ตัวหนังสือ รูปภาพ
หรือแผนภูมิที่มีขนาดที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
หลีกเลี่ยงการใช้ตัวหนังสือสีอ่อน หรือสีที่ใกล้เคียงกับพื้นหลัง
เพราะจะทำให้เห็นได้ไม่ชัดเจน
๒.๑.๒ เตรียมตัวก่อนสอบ
๒.๑.๒.๑ ต้องศึกษาให้รู้และเข้าใจข้อมูลเหล่านั้นเป็นอย่างดี
๒.๑.๒.๒ จัดเรื่องที่พูดกับเวลาให้เป็นไปตามกำหนดของการสอบ
๒.๑.๒.๓ รู้ว่าข้อมูลไหนคือประเด็นหลัก ส่วนใดเป็นประเด็นปลีกย่อย ประเด็นไหนที่ควรพูดเน้น
๒.๑.๒.๔ เตรียมคำถามและคำตอบไว้ล่วงหน้าตามที่คาดว่าอาจจะเป็นข้อสอบได้
๒.๑.๒.๕
ฝึกพูดนำเสนอหลาย ๆ ครั้ง เพื่อหาข้อบกพร่องและข้อควรปรับปรุงแก้ไข
อีกทั้งยังทำให้นักศึกษาพูดได้คล่องแคล่ว ไม่ติดขัด และประหม่าน้อยลง
แสดงว่าเรามีความรู้ในเรื่องที่นำเสนอและเตรียมตัวมาอย่างดี
๒.๑.๓ ขณะสอบ
ขณะ
ที่เราเริ่มต้นพูด
ผู้คุมสอบหรือผู้ซักถามซึ่งอาจจะเป็นอาจารย์หรือคณะกรรมการทุกคนจะมองมาที่
นักศึกษา อาการปกติที่มักจะเกิดขึ้นกับทึกคน
โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์น้อยคือ อาการประหม่า พูดไม่ออก
หัวใจเต้นแรงและเร็ว บางคนอาจจะถึงขั้นเป็นลมและหน้ามืด
การแก้ไขทำได้หลายวิธี เป็นต้นว่า หลายใจลึก ๆ ยาว ๆ เข้าปิดสัก ๒ –
๓ ครั้ง แล้วเริ่มต้นพูดช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน
วิธีนี้จะช่วยเปิดช่องลมให้กับท่อเสียงบริเวณกล้ามเนื้อรอบ ๆ
เส้นเสียงให้คลายตัว จะช่วยให้ผ่อนคลายและระงับความประหม่า
หลังจากนั้นผู้นำเสนอควรปฏิบัติตามขั้นตอน
๒.๑.๓.๑ ข้อควรปฏิบัติขณะสอบ
๒.๑.๓.๑.๑ พูดด้วยน้ำเสียงที่ดัง ฟังชัด ชัดเจน ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป พูดตามลำดับหัวข้อเป็นขั้นตอน
๒.๑.๓.๑.๒ ไม่ควรก้มมองดูข้อมูลหรืออ่านข้อมูลตลอดเวลา แต่ควรมองอาจารย์หรือคณะกรรมการบ้างเป็นระยะ ๆ ไม่ควรจ้องตา แต่ให้ประสานสายตาผ่าน ๆ
๒.๑.๓.๑.๓ รักษาเวลาตามกำหนด ไม่ควรพูดเกินเวลาที่กำหนด เพราะจะน่าเบื่อและทำให้เสียคะแนน
๒.๑.๓.๑.๔ ฟังคำถามจนจบและทำความเข้าใจ ( ห้ามพูดแทรก ) หยุดคิด ประมาณ ๑ –
๒ วินาที แล้วจึงตอบคำถม โดยให้กระชับและตรงประเด็น
หากไม่รู้หรือไม่มีข้อมูลในการตอบ
ขอให้กล้ายอมรับและบอกว่าจะไปค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม
ด้วยน้ำเสียงที่สุภาพจริงใจ ถ้ายังมีการสอบครั้งต่อไป
ก็ให้นำข้อมูลนั้นมาเสนอ
แต่ถ้าไม่มีต้องทำใจยอมรับและคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว เนื่องจาก
การทำงานนำเสนอแต่ละครั้ง จะต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าเสมอ
ถ้าเตรียมตัวมาอย่างดี โอกาสที่จะได้คะแนนดี ๆ ก็มีสูงมาก ฉะนั้น
ไม่ควรละเลยที่จะเตรียมตัวatt: https://blog.eduzones.com/rangsit/11537
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น